《鬼谷子》กุ่ยกู๋จื่อ 12 บท (8)

บทที่แปด การชั่งน้ำหนัก
"การชั่งน้ำหนัก" ที่ว่าเป็นวิธีที่คล้ายกับ "การคาดคะเน" เป้าหมายของการคาดคะเนคือ "สอดคล้องกับภายใน" การดำเนินการคาดคะเนจำต้องรู้กฎของการคาดคะเน และกฎเหล่านี้ก็ซ่อนอยู่ข้างในไม่ปรากฎให้เห็น จึงต้องอาศัยการ "ชั่งน้ำหนัก" อย่างเหมาะสม เพื่อประเมินความชอบของเขา โดยให้เขาสะท้อนออกมาทางพฤติกรรมภายนอก จะให้สิ่งที่อยู่ภายในใจเปิดเผยออกมา ก็ต้องลงมือทำอะไรบ้างอย่าง นี่ก็คือหน้าที่ของ "การชั่งน้ำหนัก"
หลังจากบรรลุเป้าหมายที่วางไว้แล้ว ก็ต้องไปจากฝ่ายตรงข้ามในเวลาที่เหมาะสม เก็บซ่อนแรงจูงใจไว้ ทำลายร่องรอย อำพรางพฤติกรรมภายนอก หลีกเลี่ยงความจริง ทำให้คนอื่นไม่รู้ว่าใครเป็นคนลงมือทำเรื่องนี้ "การชั่งน้ำหนัก" ฝ่ายตรงข้ามทำในเวลานี้ และฝ่ายตรงข้ามจะเปิดเผยตัวในเวลาต่อมา ขอเพียงเรามีวิธีทำให้ฝ่ายตรงข้ามทำตามแผนของเรา ไม่ว่าเรื่องอะไรก็สำเร็จได้
สมัยโบราณคนที่เก่งใน "การชั่งน้ำหนัก" ก็เหมือนกับการถือเบ็ดไปตกปลาที่ริมน้ำ เพียงแค่หย่อนเบ็ดที่มีเหยื่อลงในน้ำ รออย่างเงียบๆ ไม่ต้องพูดอะไร ปลาก็ติดเบ็ดได้ ดังนั้นเรื่องที่ตนรับผิดชอบเข้าใกล้ความสำเร็จขึ้นทุกวัน กลับไม่มีใครสังเกตเห็น กองทัพที่ตนเป็นผู้สั่งการชนะข้าศึกเพิ่มขึ้นทุกวัน แต่กลับไม่มีใครรู้สึกหวาดกลัว ต้องทำได้ถึงขั้นนี้เท่านั้นจึงจะเรียกว่าปราดเปรื่อง คนที่มีความรู้และสติปัญญามากมักจะวางแผนการในที่ลับเสมอ ดังนั้นจึงได้รับการยกย่องให้เป็น "神(เทพ)" และผลสำเร็จล้วนปรากฎให้เห็นในที่แจ้ง ดังนั้นจึงเรียกว่า "明(สว่าง)" และเรียกกลยุทธ์ "การวางแผนในที่ลับ สำเร็จในที่แจ้ง" นี้ว่า "神明"
ขณะที่ใช้วิธี "การชั่งน้ำหนัก" นั้น บางครั้งใช้สันติในการใจมตี บางครั้งใช้ความยุติธรรมในการกล่าวโทษ บางครั้งความบันเทิงในการเอาใจ บางครั้งใช้ความโกรธเข้ากระตุ้น บางครั้งใช้เกียรติยศเข้าข่มขู่ บางครั้งใช้พฤติกรรมบีบบังคับ บางครั้งใช้ความซื่อสัตย์เข้าเกลี่ยกล่อม บางครั้งใช้ความน่าเชื่อถือเข้าโน้มน้าว บางครั้งใช้ผลประโยชน์เข้าหลอกล่อ บางครั้งใช้ความถ่อมตนเพื่อให้ได้มา สันติก็คือความเงียบ ยุติธรรมคือความตรงไปตรงมาและเปิดเผย ความบันเทิงคือความสุข ความโกรธคือความตื่นเต้น เกียรติยศคือชื่อเสียง พฤติกรรมคือการนำไปปฎิบัติ ความซื่อสัตย์คือความใสสะอาด ผลประโยชน์คือความต้องการ การถ่อมตนคือการยอมฝืนทน ดังนั้นกลวิธี "การชั่งน้ำหนัก" ที่นักปราชญ์ใช้นั้น คนทั่วไปต่างมีสิ่งเหล่านี้อยู่ในตัว แต่ที่ไม่สามารถนำมาใช้ให้เกิดผลสำเร็จได้นั้น ก็เป็นเพราะว่าพวกเขาใช้ผิด ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่ยากที่สุดในการวางแผนกลยุทธ์ก็คือความระมัดระวังและรอบคอบ สิ่งที่ยากที่สุดในการโน้มน้าวก็คือการทำให้ฝ่ายตรงข้ามเชื่อในคำพูดของตน สิ่งที่ยากที่สุดในการเป็นผู้รับผิดชอบงานก็คือต้องสำเร็จ ทั้งสามด้านนี้ ต้องเป็นนักปราชญ์เท่านั้นจึงจะทำสำเร็จได้
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า การวางแผนกลยุทธ์จำเป็นต้องรอบคอบและระมัดระวัง การโน้มน้าวนั้น ก่อนอื่นต้องเลือกเป้าหมายที่มีความคิดอ่านตรงกับตนเอง จึงกล่าวได้ว่า "จะทำการใดต้องให้แข็งแกร่ง และต้องไร้ช่องโหว่ให้โจมตีได้" หากจะให้การใดที่ทำอยู่ประสบผลสำเร็จตามที่คาดหมายไว้ จำเป็นต้องใช้วิธีที่เหมาะสม จึงกล่าวได้ว่า "กฎเกณฑ์ วิธีการ และโอกาสล้วนต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน" การที่ผู้พูดโน้มน้าวต้องการให้ฝ่ายตรงข้ามเชื่อในสิ่งที่พูด ก็จำเป็นต้องทำให้คำพูดของตนนั้นมีความสมเหตุสมผล จึงกล่าวได้ว่า "สมเหตุสมผล จึงมีคนฟัง" สิ่งต่างๆ บนโลกนี้ล้วนมีคุณสมบัติเฉพาะตัว ยกตัวอย่างเช่น หากนำฝืนโยนเข้ากองไฟ ฝืนที่แห้งย่อมติดไฟก่อน เทน้ำลงบนพื้นราบ น้ำย่อมไหลเข้าที่ที่ต่ำกว่าก่อน ปรากฎการณ์เหล่านี้ ล้วนเป็นไปตามคุณสมบัติของแต่ละประเภท สิ่งอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน ดังนั้น หากคิดทำการใดอย่างอิสระ ก็ต้องระวังการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ของสิ่งต่างๆ คว้าโอกาสไว้ มีผลงานแล้วก็อย่าหยุดนิ่ง นานวันเข้าก็ย่อมที่จะประสบความสำเร็จ
ดีมากครับ
ReplyDelete