《鬼谷子》กุ่ยกู๋จื่อ 12 บท (2)



บทที่สอง การตอบสนอง

ในสมัยโบราณนักปราชญ์ที่ใช้ "คุณธรรม" ในการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ นั้น การกระทำของพวกเขาต่างก็สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ เรามองย้อนกลับไปหาอดีต แล้วหันกลับมามองอนาคต  ย้อนกลับไปตรวจสอบประวัติศาสตร์ แล้วหันกลับมาทำความเข้าใจกับปัจจุบัน  ย้อนกลับไปมองฝ่ายตรงข้าม แล้วหันกลับมามองตนเอง  หลักการของการเคลื่อนไหวและการหยุดนิ่ง ความจริงและความเท็จ หากไม่สามารถนำมาใช้กับปัจจุบันและในอนาคตได้ ก็ต้องย้อนกลับไปยังประวัติศาสตร์ในอดีตเพื่อดูว่าคนรุ่นก่อนเขาทำอย่างไร เรื่องบางเรื่องจำเป็นต้องหมั่นสืบค้นจึงจะชำนาญ นี่คือทัศนะของนักปราชญ์ ที่ต้องตั้งใจศึกษามองข้ามไปไม่ได้

ผู้อื่นพูดคุยกันคือการเคลื่อนไหว ตนเองนิ่งเงียบไม่พูดจาคือการหยุดนิ่ง ต้องฟังสิ่งที่สื่อออกมาในคำพูดจากการสนทนาของผู้อื่น หากคำพูดมีจุดที่ขัดแย้งกันก็ต้องถาม เมื่อถามซ้ำหลายครั้ง คำตอบก็จะออกมาจากการโต้ตอบของเขา ภาษาสามารถเลียนแบบรูปคำได้ สิ่งต่างๆ ก็มีข้อเปรียบเทียบกันได้ หากคำพูดจากฝ่ายตรงข้ามนั้นตรงกับความเป็นจริง เราก็จะรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา มันก็เปรียบเหมือนกับการวางตาข่ายดักจับสัตว์ รอให้เหยื่อเข้ามาติดกับเอง หากนำวิธีการลาสัตว์นี้มาใช้กับคน ไม่นานคนก็ต้องเข้ามาติดกับเอง นี่คือตาข่ายดักจับคน แต่หากใช้ตาข่ายจับฝ่ายตรงข้ามบ่อยๆ คำพูดของเขาก็จะไม่เป็นตามรูปแบบเดิมอีกต่อไป ถึงเวลานี้ก็ต้องเปลี่ยนวิธีการใหม่ โดยทำให้คู่ต่อสู้เกิดความประทับใจ แล้วเข้าไปอ่านความคิดของเขา ทำให้คู่ต่อสู้เผยความจริงออกมา แล้วเข้าไปควบคุมเขา โจมตีคู่ต่อสู้อีกซ้ำไปมา เพราะเรื่องราวต่างๆ ล้วนสะท้อนออกมาให้เห็นได้โดยคำพูด ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมนักปราชญ์จึงสามารถหลอกล่อให้ทั้งคนโง่และคนฉลาดหลงเชื่อได้

ในสมัยโบราณคนที่เก่งในการฟังผู้อื่นวิจารณ์ในด้านที่กลับกันนั้น จะสามารถทำให้เขารับรู้สภาพการณ์ที่แท้จริงจากการฟังนั้นได้ พวกเขาปรับเปลี่ยนไปตามโอกาสได้อย่างเหมาะสม การควบคุมคู่ต่อสู้ก็ทำได้อย่างรอบคอบ หากควบคุมไม่รอบคอบ สภาพการณ์ที่ได้รับมาก็จะไม่ชัดเจน เมื่อสภาพการณ์ไม่ชัดเจน แผนที่วางไว้ก้จะไม่ครอบคลุม การจะนำกลยุทธ์การเลียนแบบและการเปรียบเทียบไปใช้ได้อย่างปราดเปรื่อง ก็ต้องทำในทางที่กลับกัน เพื่อดูการตอบสนองของฝ่ายตรงข้าม คิดอยากจะพูดแต่กลับเงียบไว้ก่อน อยากจะเปิดออกแต่กลับเก็บไว้ก่อน อยากจะขึ้นที่สุงแต่กลับลงที่ต่ำก่อน อยากจะรับแต่กลับให้ก่อน ถ้าอยากรู้เรื่องภายในของฝ่ายตรงข้าม ก็ต้องรู้จักใช้กลวิธีการเลียนแบบและการเปรียบเทียบ เพื่อจับคำพูดของฝ่ายตรงข้าม เสียงประเภทเดียวกันจะตอบรับซึ่งกัน หลักการที่สอดคล้องกับความเป็นจริงจะได้ผลที่เหมือนกัน จะเพราะสาเหตุนี้หรือเพราะสาเหตุนั้น หรืออาจจะนำมาใช้ปรนนิบัติกษัตริย์ หรืออาจจะนำมาใช้บริหารผู้อยู่ใต้อำนาจ ตรงนี้ก็ต้องมาแยกแยะข้อเท็จจริง ทำความเข้าใจความเหมือนและความแตกต่าง เพื่อแยกแยะให้ออกว่าเป็นสภาพการณ์จริงหรือเป็นกลอุบายของคู่ต่อสู้ การเคลื่อนไหว การหยุดนิ่ง การพูดจา การเงียบล้วนแสดงให้เห็นโดยผ่านสิ่งเหล่านี้ ดีใจเสียใจสุขหรือทุกข์ล้วนอาศัยรูปแบบเหล่านี้และล้วนต้องให้แน่ใจในหลักการ

ตนเองต้องการความสงบ เพื่อฟังคำพูดของฝ่ายตรงข้าม พิจารณาเหตุและผลของสิ่งต่างๆ  วิจารณ์และแยกแยะสรรพสิ่ง แม้ว่านี่จะไม่ใช่เนื้อแท้ของเรื่องราว แต่สามารถสืบหาเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกันได้จากลางสังหรณ์เพียงเล็กน้อย เช่นเดียวกับการลอบเข้าเขตแดนศัตรูเพื่อสอดแนมสถานการณ์ จะต้องประเมินความสามารถของศัตรูเป็นอันดับแรก จากนั้นค่อยสืบหาเจตนารมณ์ของศัตรู โดยต้องสามารถเชื่อถือได้ มีความรวดเร็วและถูกต้อง

ดังนั้นหากคิดจะเข้าใจสถานการณ์อย่างถ่องแท้ ก็ต้องเริ่มจากตนเองก่อน เมื่อเข้าใจตนเองแล้วเท่านั้น จึงจะเข้าใจผู้อื่นได้ เปิดเผยข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ แก่ฝ่ายตรงข้ามเอง จากนั้นดูความเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้อย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกันกับที่หยินเปลี่ยนเป็นหยางและหยางเปลี่ยนเป็นหยิน กลมเปลี่ยนเป็นเหลี่ยมและเหลี่ยมเปลี่ยนเป็นกลม ในขณะที่สถานการณ์ยังไม่ชัดเจนนั้น เราใช้กลยุทธ์แบบหนึ่งมาหลอกล่อคู่ต่อสู้ หลังจากที่สถานการณ์ชัดเจนแล้วก็ใช้กลยุทธ์อีกแบบหนึ่งเอาชนะคู่ฝ่ายตรงข้าม ไม่ว่าจะเดินหน้าหรือว่าถอยหลัง ไม่ว่าจะไปทางซ้ายหรือไปทางขวา ล้วนใช้วิธีนี้ในการรับมือได้ทั้งนั้น หากตนเองไม่กำหนดในยุทธวิธีให้แน่ชัดก่อน ก็ไม่สามารถบัญชาการให้กองทัพไปในทิศทางเดียวกันได้ ตนเองต้องกำหนดกลยุทธ์การต่อสู้ให้แน่ชัดก่อน จากนั้นค่อยนำมาใช้สั่งการผู้คน

Comments

Popular posts from this blog

《鬼谷子》กุ่ยกู๋จื่อ 12 บท (1)

บทบาทของตัวละครในการแสดงงิ้ว

งิ้วหรืออุปรากรจีนคืออะไร