วิวัฒนาการภาพยนตร์จีน ตอนที่ 5
- การฟื้นฟูใหม่ของภาพยนตร์จีน(1977-1991)
หลังการปฏิวัติวัฒนธรรมสิ้นสุดลง ประเทศจีนก็ได้ก้าวเข้าสู่การปลดปล่อยทางความคิด อีกทั้งได้หลุดพ้นจากการปฏิวัติ ภาพยนตร์จีนได้ผ่านประสบการณ์การวางแผนทางเศรษฐกิจไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงของตลาดเศรษฐกิจ ในปีค.ศ.1979 เติ้งเสี่ยวผิง(邓小平)ได้กล่าวในการประชุมวัฒนธรรมครั้งที่4ว่า “เขียนอะไรและเขียนอย่างไร ในการทำงานด้านศิลปะวรรณคดีมีเพียงศิลปินเท่านั้นที่สามารถค้นหา ทดลอง และแสวงหาหนทางในการแก้ปัญหาไปทีละขั้น ซึ่งในส่วนนี้เราไม่ควรไปก้าวก่าย ” จากคำพูดดังกล่าวนี้ เหมือนเป็นการให้คำมั่นสัญญากับผู้สร้างสรรค์งานศิลปะต่างๆ จึงทำให้นักศิลปะวรรณคดีคลายความกังวลไป การทำงานด้านศิลปะภาพยนตร์จึงคึกคักเป็นประวัติการณ์ ผู้ชมเองก็กระตือรือร้นที่จะเข้าชมภาพยนตร์ ในปีค.ศ.1979 มีผู้เข้าชมภาพยนตร์ถึง 293 ล้านคน ภาพยนตร์จีนจึงเริ่มฟื้นตัวอีกครั้ง โดยหน้าที่สำคัญอันดับแรกที่ศิลปินยุคใหม่ต้องเผชิญคือ การจัดการกับความไม่สมจริงของภาพยนตร์ เพราะก่อนหน้านี้ภาพยนตร์จีนได้หลุดออกจากเส้นทางของแนวคิดอัตถนิยมอย่างสมบูรณ์แล้ว
เมื่อเริ่มปีค.ศ.1982 “ผู้กำกับรุ่นที่5” ก็ได้เกิดขึ้น พวกเขาคือคนรุ่นใหม่ที่มีฝีมือและความคิดใหม่ๆ เป็นผู้สรรค์สร้างสิ่งแปลกใหม่ให้กับวงการภาพยนตร์จีน “ผู้กำกับรุ่นที่5” ต่างก็ผ่านความทุกข์ ความลำบากจากเหตุการณ์การปฏิวัติวัฒนธรรมมาแล้วทั้งนั้น พวกเขาจึงมีทัศนะและมุมมองต่อการใช้ชีวิตที่กว้างยิ่งขึ้น โอกาสและสภาพแวดล้อมที่ดี บวกกับความสามารถที่มีติดตัว ทำให้เฉินข่ายเกอ(陈凯歌)จางอี้โหมว(张艺谋) เถียนจ้วงจ้วง(田壮壮) จางจวินเจา(张军钊)และอู่จื่อหนิว(吴子牛)เป็นต้นมีอิทธิพลอย่างมากต่อวงการภาพยนตร์จีน พวกเขาเป็นทั้งผู้ผลักดันและผู้รับผลประโยชน์ที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ยุคใหม่ ภาพยนตร์เรื่อง《一个和八个》ของ(张军钊)นั้นถือเป็นการจุดกำเนิดของภาพยนตร์รุ่นที่5 เขาสามารถทำให้เกียรติภูมิและความเป็นพิธีการที่ดูสูงส่งนั้น กลายเป็นความธรรมดาสามัญ และภาพยนตร์อีกเรื่องที่ได้ออกสู่สายตาชาวโลกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เหตุการณ์การปฏิวัติวัฒนธรรมสิ้นสุดลงคือ《黄土地》 ที่กำกับโดย(陈凯歌)เป็นภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิวัติวัฒนธรรม แต่ยังคงสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมจีนได้เป็นอย่างดี
- ปฏิวัติวงการภาพยนตร์ (1992-2001)
ในยุค 90 ตั้งแต่ปี ค.ศ.1992 ถึง ค.ศ.2001 นั้น เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของประเทศจีน ต่างอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลง ในวงการภาพยนตร์จีนเองก็เริ่มต้นของการปฏิวัติภาพยนตร์จีน ตลาดภาพยนตร์จีนเริ่มเปิดออกสู่นานาชาติ
ปีค.ศ.1993 ภาพยนตร์เรื่องป้าหวังเปี๋ยจี《霸王别姬》ที่กำกับโดยเฉินข่ายเกอ(陈凯歌)ได้รับรางวัลปาล์มทองคำ จากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ภาพยนตร์สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมและการเมืองจีนในยุคต้นทศวรรษที่ 20 ตั้งแต่ช่วงสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 2 การพ่ายแพ้ของกองทัพญี่ปุ่น การโค่นล้มพรรคก๊กมินตั๋งโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน ผ่านยุคของการปฏิวัติวัฒนธรรมที่งิ้วกลายเป็นสิ่งต้องห้ามจนมาถึงยุคสมัยปัจจุบัน และในปีค.ศ.1994 ภาพยนตร์เรื่องหัวเจ่อ《活着》ก็ได้ถูกสร้างขึ้นโดยผู้กำกับจางอี้โหมว(张艺谋)โดยภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างขึ้นจากนวนิยายเรื่องเดียวกันของหยวีหัว(余华)แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าฉายในจีนแผ่นดินใหญ่ เนื่องจากเนื้อหาของภาพยนตร์แฝงด้วยเรื่องราวที่เสียดสีพรรคคอมมิวนิสต์จีน นอกจากนี้ยังมีภาพยนตร์อีก 2 เรื่องที่ค่อนข้างโด่งดังในช่วงนี้คือเรื่องหลันเฟิงเจิง《蓝风筝》ของผู้กำกับเถียนจ้วงจ้วง(田壮壮)และเรื่องหยางกวงช่านล่านเตอรื๋อจื่อ《阳光灿烂的日子》ที่กำกับโดยเจียงเหวิน(姜文)
ถึงแม้ว่าภาพยนตร์หลายเรื่องจะถูกสร้างขึ้นจากผู้กำกับที่มีฝีมือ แต่ “ตลาด” นั้นก็ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญของภาพยนตร์จีนในเวลานี้ และรัฐบาลจีนที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาของภาพยนตร์จีนก็ได้ตระหนักถึงปัญหาข้อนี้ ในปีค.ศ.1996 จึงได้จัดการประชุมงานภาพยนตร์ขึ้น โดยมีการเสนอมาตรการต่างๆ เพื่อเป็นเส้นทางให้ภาพยนตร์จีนพัฒนาก้าวขึ้นสู่อุตสาหกรรมภาพยนตร์อย่างราบรื่น
หลังการปฏิวัติวัฒนธรรมสิ้นสุดลง ประเทศจีนก็ได้ก้าวเข้าสู่การปลดปล่อยทางความคิด อีกทั้งได้หลุดพ้นจากการปฏิวัติ ภาพยนตร์จีนได้ผ่านประสบการณ์การวางแผนทางเศรษฐกิจไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงของตลาดเศรษฐกิจ ในปีค.ศ.1979 เติ้งเสี่ยวผิง(邓小平)ได้กล่าวในการประชุมวัฒนธรรมครั้งที่4ว่า “เขียนอะไรและเขียนอย่างไร ในการทำงานด้านศิลปะวรรณคดีมีเพียงศิลปินเท่านั้นที่สามารถค้นหา ทดลอง และแสวงหาหนทางในการแก้ปัญหาไปทีละขั้น ซึ่งในส่วนนี้เราไม่ควรไปก้าวก่าย ” จากคำพูดดังกล่าวนี้ เหมือนเป็นการให้คำมั่นสัญญากับผู้สร้างสรรค์งานศิลปะต่างๆ จึงทำให้นักศิลปะวรรณคดีคลายความกังวลไป การทำงานด้านศิลปะภาพยนตร์จึงคึกคักเป็นประวัติการณ์ ผู้ชมเองก็กระตือรือร้นที่จะเข้าชมภาพยนตร์ ในปีค.ศ.1979 มีผู้เข้าชมภาพยนตร์ถึง 293 ล้านคน ภาพยนตร์จีนจึงเริ่มฟื้นตัวอีกครั้ง โดยหน้าที่สำคัญอันดับแรกที่ศิลปินยุคใหม่ต้องเผชิญคือ การจัดการกับความไม่สมจริงของภาพยนตร์ เพราะก่อนหน้านี้ภาพยนตร์จีนได้หลุดออกจากเส้นทางของแนวคิดอัตถนิยมอย่างสมบูรณ์แล้ว
เมื่อเริ่มปีค.ศ.1982 “ผู้กำกับรุ่นที่5” ก็ได้เกิดขึ้น พวกเขาคือคนรุ่นใหม่ที่มีฝีมือและความคิดใหม่ๆ เป็นผู้สรรค์สร้างสิ่งแปลกใหม่ให้กับวงการภาพยนตร์จีน “ผู้กำกับรุ่นที่5” ต่างก็ผ่านความทุกข์ ความลำบากจากเหตุการณ์การปฏิวัติวัฒนธรรมมาแล้วทั้งนั้น พวกเขาจึงมีทัศนะและมุมมองต่อการใช้ชีวิตที่กว้างยิ่งขึ้น โอกาสและสภาพแวดล้อมที่ดี บวกกับความสามารถที่มีติดตัว ทำให้เฉินข่ายเกอ(陈凯歌)จางอี้โหมว(张艺谋) เถียนจ้วงจ้วง(田壮壮) จางจวินเจา(张军钊)และอู่จื่อหนิว(吴子牛)เป็นต้นมีอิทธิพลอย่างมากต่อวงการภาพยนตร์จีน พวกเขาเป็นทั้งผู้ผลักดันและผู้รับผลประโยชน์ที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ยุคใหม่ ภาพยนตร์เรื่อง《一个和八个》ของ(张军钊)นั้นถือเป็นการจุดกำเนิดของภาพยนตร์รุ่นที่5 เขาสามารถทำให้เกียรติภูมิและความเป็นพิธีการที่ดูสูงส่งนั้น กลายเป็นความธรรมดาสามัญ และภาพยนตร์อีกเรื่องที่ได้ออกสู่สายตาชาวโลกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เหตุการณ์การปฏิวัติวัฒนธรรมสิ้นสุดลงคือ《黄土地》 ที่กำกับโดย(陈凯歌)เป็นภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิวัติวัฒนธรรม แต่ยังคงสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมจีนได้เป็นอย่างดี
- ปฏิวัติวงการภาพยนตร์ (1992-2001)
ในยุค 90 ตั้งแต่ปี ค.ศ.1992 ถึง ค.ศ.2001 นั้น เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของประเทศจีน ต่างอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลง ในวงการภาพยนตร์จีนเองก็เริ่มต้นของการปฏิวัติภาพยนตร์จีน ตลาดภาพยนตร์จีนเริ่มเปิดออกสู่นานาชาติ
ปีค.ศ.1993 ภาพยนตร์เรื่องป้าหวังเปี๋ยจี《霸王别姬》ที่กำกับโดยเฉินข่ายเกอ(陈凯歌)ได้รับรางวัลปาล์มทองคำ จากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ภาพยนตร์สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมและการเมืองจีนในยุคต้นทศวรรษที่ 20 ตั้งแต่ช่วงสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 2 การพ่ายแพ้ของกองทัพญี่ปุ่น การโค่นล้มพรรคก๊กมินตั๋งโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน ผ่านยุคของการปฏิวัติวัฒนธรรมที่งิ้วกลายเป็นสิ่งต้องห้ามจนมาถึงยุคสมัยปัจจุบัน และในปีค.ศ.1994 ภาพยนตร์เรื่องหัวเจ่อ《活着》ก็ได้ถูกสร้างขึ้นโดยผู้กำกับจางอี้โหมว(张艺谋)โดยภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างขึ้นจากนวนิยายเรื่องเดียวกันของหยวีหัว(余华)แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าฉายในจีนแผ่นดินใหญ่ เนื่องจากเนื้อหาของภาพยนตร์แฝงด้วยเรื่องราวที่เสียดสีพรรคคอมมิวนิสต์จีน นอกจากนี้ยังมีภาพยนตร์อีก 2 เรื่องที่ค่อนข้างโด่งดังในช่วงนี้คือเรื่องหลันเฟิงเจิง《蓝风筝》ของผู้กำกับเถียนจ้วงจ้วง(田壮壮)และเรื่องหยางกวงช่านล่านเตอรื๋อจื่อ《阳光灿烂的日子》ที่กำกับโดยเจียงเหวิน(姜文)
ถึงแม้ว่าภาพยนตร์หลายเรื่องจะถูกสร้างขึ้นจากผู้กำกับที่มีฝีมือ แต่ “ตลาด” นั้นก็ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญของภาพยนตร์จีนในเวลานี้ และรัฐบาลจีนที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาของภาพยนตร์จีนก็ได้ตระหนักถึงปัญหาข้อนี้ ในปีค.ศ.1996 จึงได้จัดการประชุมงานภาพยนตร์ขึ้น โดยมีการเสนอมาตรการต่างๆ เพื่อเป็นเส้นทางให้ภาพยนตร์จีนพัฒนาก้าวขึ้นสู่อุตสาหกรรมภาพยนตร์อย่างราบรื่น
Comments
Post a Comment