งิ้วและการเข้าสู่เมืองไทย
สำหรับเมืองไทยนั้นมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่บ่งบอกว่าคนไทยเรารู้จัก “งิ้ว” มาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา ตอนกลางนั่นคือ บันทึกรายวันของบาทหลวง บาทหลวงเดอ ชัวสี ตาซารต์ ทูตพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ในคราวที่ติดตามมองซิเออร์ เลอ เชอวาเลีย เดอโชมองต์ เมื่อวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2228 (ค.ศ. 1685) เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับไทยใน สมัยพระนารายณ์มหาราช และบันทึกของลาลูแบร์ทูตชาวฝรั่งเศสเมื่อ พ.ศ. 2230 หรือราว 319 ปี ก็ชื่นชมการแสดงงิ้วดังกล่าวด้วย และเรียกการแสดงชนิดนี้ว่า “Comedie a la chinoife” และ “A Chinefe Comedy” ซึ่งมีความหมายโดยรวมว่า “ละครจีน”
ในสมัยกรุงศรีอยุธยาไม่มีบันทึกหลักฐานใดๆที่บ่งบอกถึงที่มาของชื่อ..งิ้ว..ไว้อย่างแน่ชัด จนกระทั่งมาถึงในสมัยของพระเจ้ากรุงธนบุรีซึ่งเป็นยุคที่มีชาวจีนอพยพมาตั้งถิ่นฐานในเมืองไทยมากขึ้น ได้เรียกชื่อของการแสดงนี้ว่า...งิ้ว...ดังนั้นชื่อของ...งิ้วจึงเกิดขึ้นในสมัยของพระเจ้ากรุงธนบุรี ดังในหลักฐานเมื่อครั้งที่พระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดฯให้จัดขบวนแห่อย่างยิ่งใหญ่ เพื่ออัญเชิญพระแก้วมรกตซึ่งล้นเกล้ารัชกาลที่1 เมื่อครั้งดำรงพระยศเป็นเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกทรงยกทัพไปตีเวียงจันทน์และทรงอัญเชิญลงมาด้วย ซึ่งในขบวนแห่นอกจากจะมีโขน ละคร ดนตรีปี่พาทย์ แล้วยังมีในหมายรับสั่งให้จัด..งิ้ว...ไปแสดงในเรือด้วย โดยมีข้อความว่า “งิ้วลงสามป้าน พระยาราชาเศรษฐีหนึ่ง หลวงรักษาสมบัติหนึ่ง”รวมมี งิ้ว ด้วยกันถึง 2 ลำ การแสดงงิ้วจึงเป็นที่นิยมและแพร่หลายมากในสมัยกรุงธนบุรี
งิ้ว...จึงเปรียบเสมือนประหนึ่งตัวแทนที่สามารถสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิต..ศิลปวัฒนธรรม..ขนบธรรมเนียม..จารีตประเพณีของชาวจีนในยุคโบราณที่ได้ปฏิบัติสืบต่อกันมาอย่างเห็นได้ชัด และมีความสำคัญเกี่ยวเนื่องอยู่กับความเชื่อของผู้คนชาวจีนอยู่ไม่น้อยเพราะไม่ว่าจะเป็นสถานที่ใด..ที่มีชาวจีนมาตั้งถิ่นฐานที่อยู่อาศัย ก็มักจะมีการสร้างศาลเจ้าขึ้นมาควบคู่กันเสมอ..การแสดงงิ้ว..ก็จะถูกกำหนดให้จัดขึ้นในช่วงเทศกาลหรืองานประเพณีสำคัญๆ เช่น งานฉลองศาลเจ้า งานฉลองวันสารทเดือน7 งานฉลองวันเทศกาลกินเจเดือน9 งานฉลองแก้บน ฯลฯ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะถือว่าเป็นการตอบแทนคุณ..ศาลเจ้าที่คอยคุ้มครองดูแลปกปักรักษาให้คนที่อาศัยอยู่ในท้องถิ่นนั้นๆได้อยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข ไม่มีทุกข์ภัยใดๆมาเบียดเบียน
การแสดงงิ้วในเมืองไทยมาได้รับความนิยมสูงสุดในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว..โดยมีการเปิดโรงเรียนสอนการแสดงงิ้วขึ้น...มีคณะงิ้วทั้งของคนจีนและคนไทยเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก..แล้วยังมีโรงงิ้วมาเปิดแสดงเป็นประจำอย่างมากมายบนถนนเยาวราช..นั่นคือภาพสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมของชาวจีนกับชาวไทยที่มีมาเนิ่นนานนับตั้งแต่อดีตปัจจุบัน
ปัจจุบันความนิยมในการชมการแสดงงิ้วได้ลดน้อยลงไป..โรงงิ้วที่เคยมีอยู่มากมายในเยาวราช...ถูกปรับเปลี่ยนไปเหลือเพียงแค่เค้าโครงรูปแบบของโรงงิ้วแบบเดิม กับคำบอกเล่าจากผู้คนในย่านนั้นว่าครั้งหนึ่งที่แห่งนั้นเคยเป็นโรงงิ้วมาก่อน….มาถึงทุกวันนี้การแสดงงิ้วในเยาวราช...จะมีให้เห็นบ้างก็ตามศาลเจ้าและในเทศกาลสำคัญๆเท่านั้น ....ส่วนหนึ่งก็เพราะความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี...มีความบันเทิงในรูปแบบต่างๆตามแบบวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามามากขึ้น ตลอดจนถึงเรื่องของภาษาที่ใช้ก็เป็นภาษาจีนท้องถิ่น...จึงมีผู้ชมน้อยคนนักที่สามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ นอกจากนั้นก็ยังมีปัจจัยอื่นๆรวมอยู่ด้วย เช่น การว่าจ้างคณะงิ้วมาแสดงนั้นมีราคาค่อนข้างสูงกว่ามหรสพประเภทอื่นๆจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ งิ้วในเมืองไทยค่อยๆเลือนหายไปจากความรู้สึกของคนทั่วๆไป
อนาคตของงิ้วหรืออุปรากรจีนในเมืองไทยยังจะดำรงอยู่ได้...ตราบที่ศาลเจ้ายังมีผู้ศรัทธาจ้างเอางิ้วไปแสดง....แต่หากศาลเจ้า...ขาดผู้ศรัทธาไม่มีใครเข้ามาอุปถัมภ์ค้ำจุน...งิ้วก็จะสาบสูญสิ้นไป
Comments
Post a Comment