เรื่องของบทบาท

 



เขา: "ผมพูดได้แค่ว่าผมเห็นใจคุณนะ แต่ไม่ได้สงสารคุณ เพราะยังไงเสียผมก็เป็นคนที่สร้างคุณขึ้นมา"

ผม: "คุณสร้างผมยังไงเหรอ"

เขา: "คุณเป็นแค่ตัวละครตัวหนึ่งในนิยายของผมเท่านั้น จุดประสงค์ในการปรากฏตัวของคุณก็เพื่อเพิ่มปฏิกิริยาบางอย่างในจิตใจให้ผมซึ่งก็คือตัวเอกของหนังสือเล่มนี้และช่วยขับเคลื่อนเรื่องราวทั้งหมด ผมหมายถึงให้เรื่องราวดำเนินต่อไปน่ะ"

เขาที่อยู่ตรงหน้าผมเป็นผู้ป่วยโรคจิตหลงผิด (Delusional Disorder) เขาเข้าใจว่าตัวเองเป็นตัวเอกในหนังสือเล่มหนึ่ง ขณะเดียวกันก็เป็นผู้เขียนด้วย เขามีประวัติการเจ็บป่วยมา 4 ปีกว่า เขาเข้าโรงพยาบาลเมื่อ 3 ปีก่อน ยาดูเหมือนจะใช้ไม่ได้ผลกับเขา ครอบครัวซึ่งก็คือภรรยาของเขาก็แทบจะถอดใจอยู่รอมร่อ

ด้วยความที่เขาเคยมีอาการคลุ้มคลั่ง ผมจึงพกแค่เครื่องบันทึกเสียงเข้าไป ไม่ได้พกกระดาษ ปากกาหรือสิ่งของแหลมคมใดๆ เรานั่งห่างกันมาก เขาอยู่ฟากโน้นของโต๊ะ ส่วนผมอยู่ฟากนี้ของโต๊ะซึ่งห่างกันประมาณสองเมตร เขานั่งอยู่อีกฟากของโต๊ะและถูมือไปมาใต้โต๊ะด้วยความเคยชิน

เขา: "ผมรู้ว่านี่มันเกินขอบเขตความเข้าใจของคุณ แต่นี่มันคือความจริงและบทสนทนาระหว่างเรานี้จะไม่ปรากฏในนิยาย ในนั้นจะแค่กล่าวถึงผ่านๆ เท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น วันเดือนปีนี้ๆ ผมเจอคุณในโรงพยาบาลจิตเวช จากนั้นผมก็คิดอะไรบางอย่าง ก็จะประมาณนี้"

ผม: "คุณคิดว่ามันเป็นแบบนี้จริงๆ เหรอ คุณจะพิสูจน์ได้ยังไงว่าผมคือตัวละครที่คุณสร้างขึ้นมาล่ะ ไหนลองบอกหน่อยสิ"

เขา: "เวลาคุณเขียนนิยาย คุณจะสาธยายภูมิหลังและชาติกำเนิดของตัวละครทั้งหมดให้ผู้อ่านรู้อย่างละเอียดไหม"

ผม: "ผมไม่เคยเขียน ผมไม่รู้หรอก"

เขายิ้ม: "คุณไม่ทำอย่างนั้นแน่นอน อีกอย่างผมบอกชัดเจนแล้วว่าสถานะของผมตอนนี้คือตัวเอกของนิยายเรื่องนี้ ผมจมดิ่งอยู่ในเรื่องราวทั้งหมด บทบาทของผมไม่ใช่นักเขียน และไม่สามารถเป็นนักเขียนได้ด้วย ถ้าอะไรก็ชัดเจนไปหมดผู้อ่านก็หมดสนุกกันพอดี ผมสามารถรู้ชาติกำเนิดของคุณ แต่ไม่มีความจำเป็นต้องบรรยายมันลงในนิยาย มันไม่เกิดประโยชน์อะไร ตอนนี้ผมกำลังคุยกับคุณ มันเป็นการจัดวางของพล็อตเรื่อง เพียงแต่รายละเอียดเนื้อเรื่องนอกจากคนที่อยู่ในหนังสือแล้วไม่มีคนอื่นที่รู้ ผู้อ่านก็ไม่รู้ นี่เป็นแค่หนึ่งฉากเล็กๆ ที่อยู่ในพล็อตเรื่องใหญ่เท่านั้น......"

ผม: "คุณรู้ใช่ไหมว่าคุณอยู่ที่นี่มากี่ปีแล้ว"

เขา: "สามปีไง ที่นี่น่าเบื่อมากเลยล่ะ"

ผม: "แล้วทำไมคุณไม่ทำให้เวลาเดินเร็วขึ้นหน่อยล่ะ ข้ามเวลาช่วงนี้ไปหรือไม่ก็เขียนให้มียอดมนุษย์มาช่วยคุณออกไป มนุษย์ต่างดาวก็ได้"

เขาหัวเราะขึ้นมา: "คุณนี่ตลกจริงๆ เลย! เวลาในนิยายจะเป็นไปตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติที่เขียนในหนังสือ สามปีของผู้อ่านก็แค่ไม่กี่บรรทัดหรืออาจจะสั้นกว่านั้น แต่บุคคลที่อยู่ในนิยายนั้นต่างก็ต้องผ่านเวลาสามปีจริงๆ ระหว่างนั้นไม่ว่าจะมีความรัก แต่งงาน คลอดลูก เลื่อนตำแหน่ง ทะเลาะวิวาท กินข้าว ดื่มเหล้า เที่ยวผู้หญิง เล่นพนันต้องผ่านมาหมด จะให้เวลาในนิยายกระโดดข้ามไปได้ยังไงกัน ผมเป็นตัวเอกก็ต้องอดทนต่อความน่าเบื่อเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ ส่วนยอดมนุษย์หรือมนุษย์ต่างดาวอะไรก็แล้วแต่ที่คุณว่ามาน่ะ มันไร้สาระมาก นี่ไม่ใช่นิยายไซไฟนะ ตรรกะความคิดของคุณนี่มันมีปัญหานะเนี้ย"

ผมพบว่าเป็นอย่างที่เขาว่าจริงๆ จากมุมมองส่วนตัวของเขา โลกทัศน์ของเขาแข็งแกร่งยากจะทลายลงได้

ผม: "ผมเข้าใจแล้ว ความหมายของคุณคือโลกใบนี้ดำรงอยู่ก็เพื่อคุณ แล้วเมื่อคุณตายไปล่ะ โลกใบนี้จะยังคงอยู่ไหม"

เขา: "ก็ต้องยังอยู่สิ เพียงแต่ผู้อ่านจะไม่เห็นมันอีกแล้ว ถ้าหากผมตายไปง่ายๆ แล้วล่ะก็ มีความเป็นไปได้สองอย่างคือ หนึ่ง..พล็อตเรื่องวางให้ผมถึงเวลาตายแล้ว สอง..ผมไม่ใช่ตัวเอก แต่สำหรับประเด็นที่หนึ่ง ผมจะไม่ตายตอนนี้ เพราะนิยายยังเขียนอยู่ ส่วนประเด็นที่สองนั้น ผมไม่ต้องยืนยันอะไร ผมเป็นตัวเอกแน่นอน เพราะผมคือผู้เขียน"

ผม: "คุณจะพิสูจน์ได้ยังไงกัน"

เขา: "ถ้าผมอยากพิสูจน์ผมทำได้ทุกเมื่อ แต่มันมีความจำเป็นด้วยเหรอ ถ้าว่ากันตามมุมมองของผมแล้ว การพิสูจน์มันเป็นเรื่องน่าขัน นอกเสียจากว่าผมเห็นว่ามันมีความจำเป็น ถ้าต้องพิสูจน์ให้ได้แล้วล่ะก็ ได้..คุณลองฆ่าผมตอนนี้เลย แต่คุณฆ่าผมไม่ได้หรอก หมอที่อยู่ด้านนอกประตูจะมาห้ามคุณไว้ คุณอาจจะสะดุดล้มหรืออาจจะโรคหัวใจกำเริบตอนที่พุ่งเข้ามาหาผม หรือไม่ก็...คุณอาจจะสู้ผมไม่ได้ด้วยซ้ำ เกือบถูกผมฆ่าเสียอีก......ก็เป็นเช่นนี้แหละ"

ผม: "นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายแนวไหน"

เขา: "เป็นประเภทที่บรรยายอารมณ์ความรู้สึกของคน บางช่วงเวลาธรรมดาราบเรียบมาก แต่ก็ให้ความรู้สึกประทับใจมาก เรื่องราวที่ธรรมดาราบเรียบนี้แหละถึงจะทำให้คนเรารู้สึกอินและประทับใจจริงไหม"

ผม: "แล้ว...คุณรักภรรยาของคุณไหม"

เขา: "แน่นอนอยู่แล้ว ผมเขียนให้มันเป็นแบบนี้"

ผม: "แล้วลูกล่ะ"

เขาเริ่มรำคาญ: "คำถามแบบนี้...ยังต้องถามอีกเหรอ"

ผม: "ไม่ใช่ ผมหมายถึงความรู้สึกที่คุณมีต่อพวกเขา เป็นเพราะการกำหนดและความจำเป็นของพล็อตเรื่อง ไม่ได้มาจากความรู้สึกของคุณเองถูกไหม"

เขา: "ทำไมตรรกะของคุณดูสับสนอีกแล้ว ผมเป็นตัวเอก พวกเขาเป็นครอบครัวของตัวเอก ความรู้สึกของผมที่มีต่อพวกเขาแน่นอนว่าต้องเป็นความรู้สึกที่แท้จริงสิ"

ผม: "แล้วเมื่อสามปีก่อน ทำไมคุณถึงพยายามจะฆ่าลูกตัวเอง"

เขา: "ผมไม่ได้ฆ่า แค่ทำท่าทางไปแบบนั้นเพื่อผมจะได้ถูกส่งมาที่นี่"

ผม: "คุณหมายความว่าคุณแกล้งทำแบบนั้นเพื่อจะได้มาที่นี่งั้นเหรอ"

เขา: "ผมรู้ว่าไม่มีใครเชื่อ ก็แล้วแต่เถอะนะ แต่นั่นเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ ไม่มีผู้อ่านชอบอะไรที่ธรรมดาราบเรียบหรอก มันจำเป็นต้องมีจุดไคลแม็กซ์"

ผมตัดสินใจฝ่าฝืนกฎลองจี้จุดเขาสักหน่อย: "ถ้าช่วงที่คุณอยู่โรงพยาบาล ภรรยาของคุณเกิดนอกใจขึ้นมาล่ะ"

เขา: "พล็อตเรื่องไม่ได้วางให้มีเหตุการณ์นี้"

ผม: "คุณแน่ใจเหรอ"

เขายิ้ม: "คนอย่างคุณนี่มัน......"

ผมไม่ปล่อยให้เสียโอกาส: "คุณยอมรับว่าผมเป็นคนแล้วเหรอ ไม่ใช่ตัวละครที่คุณวางไว้แล้วใช่ไหม"

เขา: "บทบาทที่ผมวางให้คุณก็คือคนและคุณก็ได้เสร็จสิ้นในสิ่งที่คุณต้องทำแล้ว"

ผม: "ผมทำอะไร"

เขา: "ทำให้ความคิดของผมแปรปรวน"

ดูเหมือนผมจะตกหลุมพลางของเขาเสียแล้ว

ผม: "เมื่อเสร็จสิ้นแล้ว ผมก็ไม่มีตัวตนแล้วงั้นสิ"

เขา: "ไม่ คุณยังคงมีชีวิตของคุณต่อไป ถึงแม้ว่านิยายของผมจะจบลงแล้ว คุณก็จะยังมีชีวิตต่อไปเช่นเดิม เพียงแต่ว่าผู้อ่านจะไม่เห็นอีกแล้ว เพราะผมจะไม่เขียนอะไรเกี่ยวกับคุณให้ผู้อ่านได้รับรู้อีก"

ผม: "แล้วนิยายเรื่องนี้ ตอนจบของคุณคืออะไร"

เขา: "อืม นี่เป็นปัญหาที่ผมยังคงคิดอยู่......"

ผม: "จะเขียนเสร็จเมื่อไหร่"

เขา: "ถึงเขียนเสร็จคุณก็ไม่รู้หรอก เพราะว่านั่นเป็นเรื่องราวที่อยู่นอกเหนือจากโลกใบนี้ไปแล้ว มันเกินเลยขอบเขตความเข้าใจของคุณ แล้วคุณจะไปรู้ได้ยังไงล่ะว่าเขียนจบแล้ว"

ผม: "............"

เขามองผมอย่างสนใจ: "คุยกับคุณนี่มันดีจริงๆ ขอบคุณนะ ผมใกล้ถึงเวลาแล้วล่ะ" พูดจบเขาก็ขยิบตาให้

การพูดคุยในครั้งนั้นจึงจบลงด้วยประการเช่นนี้ หลังจากนั้นผมยังไปหาเขาอีกสองครั้ง เขาไม่พูดเรื่องนี้กับผมอีก แต่เปลี่ยนไปคุยเรื่องจิปาถะทั่วๆ ไปแทน หลังจากนั้นไม่นานผมได้ยินว่าอาการเขาดีขึ้น และหลังจากนั้นอีกครึ่งปีกว่าก็ได้ออกจากโรงพยาบาลไปเฝ้าดูอาการแทน วันที่ออกจากโรงพยาบาลผมว่างพอดีจึงแวะเข้าไป เขาพูดคุยหัวเราะกับหมอเจ้าของไข้และครอบครัวเพื่อนฝูงอย่างสนุกสนาน ไม่ได้สนใจอะไรผมนัก แต่ก่อนจะไปเขาเดินมาข้างตัวผมด้วยท่าทีสบายอกสบายใจและกระซิบอย่างเร็วว่า: "ยังจำโต๊ะตัวนั้นที่เราเจอกันครั้งแรกได้ไหม ลองไปดูใต้โต๊ะสิ" พูดจบก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และไม่สนใจผมอีก

ผมใช้เวลาอยู่นานกว่าจะหาโต๊ะตัวที่เราเจอกันครั้งแรกนั้นพบ ผมก้มลงไปดูใต้โต๊ะ บนนั้นมีรอยเล็บขีดข่วนอยู่เต็มไปหมด แต่ยังพอจะมองเห็นเป็นตัวอักษรบูดเบี้ยวได้เลือนลาง

นั่นเป็นวันที่ที่ผมกับเขาเจอกันครั้งแรกกับอีกหนึ่งประโยคว่า "ไปจากที่นี่ในอีกครึ่งปี"

หลังจากนั้นเนิ่นนาน รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ครั้งสุดท้ายนั่นก็ยังคงผุดขึ้นในหัวผมอยู่เสมอ


--

Comments

Popular posts from this blog

《鬼谷子》กุ่ยกู๋จื่อ 12 บท (1)

บทบาทของตัวละครในการแสดงงิ้ว

งิ้วหรืออุปรากรจีนคืออะไร